หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี)

       สมเด็จพระวันรัต มีนามเดิมว่า เฮง หรือ กิมเฮง นามฉายาว่า เขมจารี เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีมะเส็ง จ.ศ.๑๒๔๓ ตรงกับวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๔ ณ บ้านท่าแร่ ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี บิดาเป็นจีนนอก ชื่อตั้วเก๊าแซ่ฉั่ว เป็นพ่อค้า มารดาชื่อ ทับทิม มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๔ คน คนที่ ๑ เป็นหญิง ตายเสียแต่เป็นเด็กก่อน คนที่ ๒ เป็นชายชื่อกิมฮวด บรรพชาอุปสมบทตลอดมาจนเป็นพระราชาคณะ ที่พระสุนทรมุนี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี คนที่ ๓ คือ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) และคนที่ ๔ เป็นหญิงตายพร้อมกับมารดาในเวลาคลอด ยายชื่อ แห จึงอุปถัมภ์เลี้ยงดูสมเด็จฯ ต่อมา ครั้นอายุย่างเข้า ๘ ปี ป้าชื่อ เกศร์ ได้พาท่านไปฝากให้เรียนหนังสือไทยอยู่ในสำนักพระอาจารย์ชัง วัดขวิด จนมีความรู้หนังสือไทยเขียนได้อ่านออก ครั้นอายุย่างเข้า ๑๑ ปี ยายและป้าได้พาไปฝากอยู่ในสำนักพระปลัดใจ (ซึ่งต่อมาเป็นพระราชาคณะที่พระสุนทรมุนี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี) เจ้าอาวาสวัดทุ่งแก้ว เมื่อไปอยู่วัดทุ่งแก้ว ก็เริ่มศึกษาภาษาบาลี เริ่มอ่านและเขียนอักษรขอม แล้วหัดอ่านหนังสือพระมาลัยตามประเพณีการศึกษาในสมัยโบราณ แล้วท่องสูตรมูลกัจจายน์และเรียนสนธิกับพระอาจารย์อ่ำ เรียนนามถึงกิตก์กับพระอาจารย์แป้น เรียนอุณณาทและการกกับพระปลัดใจ และเรียนพระธรรมบทและมงคลทีปนีกับพระปลัดใจบ้างกับท่านอาจารย์ม่วงบ้าง กับหลวงธรรมปรีชา (เอก) บ้าง กับพระอาจารย์ฤกษ์บ้าง กับอาจารย์อุ่ม ซึ่งขึ้นไปจากกรุงเทพฯ และไปพักอยู่ที่วัดพิไชยบ้าง เรียนกับพระมหายิ้มวัดมหาธาตุฯ ในกรุงเทพฯ ซึ่งขึ้นไปเยี่ยมพระอาจารย์ม่วงและพักอยู่ที่วัดทุ่งแก้วบ้าง ได้หัดเรียนลูกคิดกับพระภิกษุวันและเรียนเลขกับพระภิกษุอ่อน ครั้นอายุย่างเข้า ๑๒ ปี บรรพชาเป็นสามเณร และได้สึกจากสามเณรเสีย ๒ ครั้ง เพราะต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ในเทศกาลตรุษจีนตามธรรมเนียมของจีน เมื่อมีอายุย่างเข้า ๑๓ ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรอีก และเรียนภาษาบาลีอยู่ในวัดทุ่งแก้วตลอดมาเรียนมูลกัจจายน์จบ เรียนพระธรรมบทจบ และเรียนมงคลทีปนี ไปแล้ว ๖ - ๗ ผูก ครั้นอายุย่างเข้า ๑๗ ปี จึงลงมาอยู่วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๐ และอยู่กับพระมหายิ้ม คณะเลข ๒๓ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีเลขที่ประจำคณะ แต่เรียกกันว่า คณะต้นจันทร์ เพราะมีต้นจันทร์อยู่หลังกุฏิ ๓ ต้น สมัยนั้นสมเด็จพระวันรัต (ฑิต) ดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรม เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ และมีพระราชาคณะผู้ช่วย ๒ องค์ คือ พระราชโมลี (จ่าย) และพระอมรเมธาจารย์ (เข้ม)
เมื่อแรกมาวัดมหาธาตุฯ สมเด็จฯ ได้เข้าเรียนพระปริยัติธรรมกับพระยาธรรมปรีชา (ทิม) ซึ่งขณะนั้นเป็นหลวงอุดมจินดา เป็นอาจารย์หลวงท่านหนึ่งใน ๔ ท่าน ที่สอนบาลีพระปริยัติธรรมอยู่ ณ ระเบียงพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ตอนเหนือ และเรียนกับพระมหายิ้มบ้าง กับพระอมรเมธาจารย์บ้าง ครั้น พ.ศ.๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สอบพระปริยัติธรรมสนามหลวง ณ วัดสุทัศนเทพวราราม และโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดสุทัศนเทพ-
วราราม เป็นอธิบดีในการสอบ หลวงอุดมจินดาผู้เป็นอาจารย์สอน จึงสนับสนุนให้สมเด็จฯ เข้าสอบด้วย และ ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยค ในปีนั้น เมื่ออายุย่างเข้า ๑๘ ปี แล้วไปเรียนต่อกับสมเด็จ พระวันรัต (แดง) อยู่พรรษาหนึ่ง และเรียนกับสมเด็จพระวันรัต (ฑิต) แต่ยังเป็นพระพิมลธรรมด้วย ครั้นรุ่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๒ มีการประชุมสอบกันที่วัดสุทัศนเทพวราราม โดยสมเด็จพระวันรัต (แดง) เป็นอธิบดีเช่นเคย แต่เมื่อประชุมสอบไปได้ ๓ วัน สมเด็จพระวันรัต (แดง) เริ่มอาพาธ จึงยุติการสอบไล่ในปีนั้น
ในปี พ.ศ.๒๔๔๓ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นอธิบดีในการสอบพระปริยัติธรรม และประชุมสอบที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จฯ เข้าสอบได้อีกประโยคหนึ่งในปีนี้ จึงเป็นเปรียญ ๔ ประโยค เมื่ออายุย่างเข้า ๒๐ ปี ครั้นรุ่งขึ้นใน พ.ศ.๒๔๔๔ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากรสิ้นพระชนม์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส    ทรงเป็นแม่กองกลาง ให้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (แสง) เป็นแม่กองเหนือ สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) เป็นแม่กองใต้ ประชุมสอบ ณ วัด พระศรีรัตนศาสดาราม     สมเด็จฯ เข้าสอบประโยค ๕ ได้ แต่สอบประโยค ๖ ตก จึงเป็นเปรียญ ๕ ประโยค เมื่ออายุย่าง ๒๑ ปี ต่อมาเมื่ออายุย่างเข้า ๒๒ โดยปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุฯ เมื่อ ณ วันจันทร์ เดือน ๗ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๕ โดยสมเด็จพระวันรัต (ฑิต) เป็นพระอุปัชฌายะ และพระธรรมวโรดม (จ่าย) วัดเบญจมบพิตรกับพระเทพเมธี (เข้ม) วัดพระเชตุพนฯ เป็นคู่กรรมวาจาจารย์ และในปีนั้น เข้าสอบพระปริยัติธรรม ได้อีก ๒ ประโยค จึงเป็นเปรียญ ๗ ประโยค ครั้นปีรุ่งขึ้น คือ พ.ศ.๒๔๔๖ ได้เข้าสอบได้อีก ๑ ประโยค จึงเป็นเปรียญ ๘ ประโยค สมเด็จพระวันรัต (ฑิต) พระอุปัชฌายะได้ถวายตัวฝากเรียนฎีกาสังคหะ (อภิธมฺมตฺถวิภาวินี) กับพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวชิรญาณวโรรสทรงเป็นพระอาจารย์แต่นั้นมา ครั้นรุ่งขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๗ สมเด็จฯ ก็เข้าสอบได้อีก ๑ ประโยค จึงเป็นเปรียญ ๙ ประโยค เมื่ออายุย่างเข้า ๒๔ ปี    สมเด็จฯ เป็นนักการศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ประจำที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและยืดยาวนานของท่าน คือ นายกมหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งท่านได้รับช่วงสืบต่อมาจากสมเด็จ พระวันรัต (ฑิต) พระอุปัชฌายะของท่าน และท่านก็สามารถทำนุบำรุง และจัดการศึกษาของสถานศึกษาฝ่ายพระมหานิกายแห่งนี้ให้เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง สมดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งปรากฏในประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆิกเสนาสนราชวิทยาลัย ท้าวความเดิมถึงพระราชปณิธานที่ตรงตั้งมหาธาตุวิทยาลัยไว้ว่า อีกสถานหนึ่ง เป็นที่เล่าเรียนของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ได้ตั้งไว้ที่วัดมหาธาตุฯ ได้เปิดการเล่าเรียนมาตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน รัตน
โกสินทรศก ๑๐๘ (พ.ศ.๒๔๓๒) สืบมาสมเด็จฯ ทุ่มเทชีวิตจิตใจและสติปัญญาลงไปในการจัดการศึกษาของมหาธาตุวิทยาลัยอย่างจริงจัง นอกจากจัดการศึกษาโดยตรงแล้ว เพื่อสนับสนุนการศึกษาให้มั่นคงถาวรยิ่งขึ้น สมเด็จฯ ได้ขวนขวายจัดตั้งมูลนิธิบำรุงการศึกษาพระปริยัติธรรมของมหาธาตุวิทยาลัยขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ เรียกชื่อตามตราสารตั้งมูลนิธิว่า นิธิ โรงเรียนบาลีมหาธาตุวิทยาลัยมีคณะกรรมการทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์ร่วมจัดการ และมีระเบียบดำเนินการอย่างรัดกุมเป็นอย่างดียิ่ง สำนักงานของมูลนิธิ ตั้งอยู่ที่สำนักงานพระคลังข้างที่ในพระบรมราชวัง การจัดตั้งมูลนิธิของสมเด็จฯ ทำให้มหาธาตุวิทยาลัยสมัยนั้นมีฐานะมั่นคงเข้มแข็ง และสามารถขยายการศึกษาได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในการศึกษาพระปริยัติธรรม แม้เมื่อสมเด็จฯ บำเพ็ญกุศลในคราวมีอายุครบ ๕ รอบ หรือ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ใน พ.ศ.๒๔๘๕ ยังได้สร้างหนังสือแปลบาลีแบบสนามหลวง ตั้งแต่ประโยค ๓ ถึงประโยค ๙ ซึ่งสมเด็จฯ แปลขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวอย่าง แจกจ่ายไปตามสำนักเรียนต่าง ๆ ทั้งในกรุงและหัวเมือง ตลอดถึงนักเรียนผู้ต้องการทั้งในสำนักวัดมหาธาตุฯ และต่างสำนัก  านอาพาธด้วยโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังกับขั้วปอดโตขึ้น มีอาการไอกำเริบ มรณภาพวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๖ ณ หอเย็นคณะเลข ๑ วัดมหาธาตุฯ อายุได้ ๖๓ ปี พรรษาได้ ๔๒ พรรษา

ผลงาน
1. เป็นพระภิกษุองค์แรกและองค์เดียวในจังหวัดอุทัยธานี ที่ได้รับสมณศักดิ์สูงสุดในทางศาสนาของประเทศไทย
2. มีศีลาจารวัตร เป็นที่น่าเลื่อมใสของชาวอุทัยธานีและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
3. เป็นสังฆนายกภาคีสมาชิกแห่งราชบัณฑิตยสถาน
4. เป็นกรรมการที่ปรึกษาการสังคายนา
5. ชาวอุทัยธานีนำสมณศักดิ์สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) มาขนานนามสะพานข้ามแม่น้ำตรงบ้านท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ปากทางเข้าเมืองอุทัยธานี

ทางจังหวัดอุทัยธานี มีความภูมิใจในบุรุษอาชาไนยของบ้านเมือง ถึงกับสร้างโอสถศาลาไว้ในนามของท่าน หลังจากที่ท่าน ล่วงลับไปได้ไม่นาน ต่อถึง พ.ศ.๒๕๓๘ แล้ว จึงมีสะพานสมเด็จพระวันรัต เฮง เขมจารี สร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากจังหวัดนครสวรรค์ ไปสู่จังหวัดอุทัยธานี โดยที่นี่ถือได้ว่าเป็นถาวรวัตถุทางด้านสาธารณประโยช์แห่งแรกที่รัฐบาล ยอมตั้งชื่อถวายพระภิกษุสงฆ์ ก่อนนั้นมามีแต่ชื่ออาคารสถานที่ที่ตั้งตามนาม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ประวัติ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง ฯ จ.สกลนคร
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชื่อ จันทร์ เพียแก่นท้าว เป็นปู่ นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว สติปัญญาดี มาแต่กำเนิด ฉลาด เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอม อ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะมีความทรงจำดี และขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียน ชีวิตสมณะ
การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
เมื่อหลวงปู่มั่นอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษา หาความรู้ ทางพระศาสนามีสวดมนต์ และพระสูตรต่าง ๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปราณีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วย การงานทางบ้าน ท่านได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานบิดามารดา เต็มความสามารถ ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้ว ยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัย ในทางบวช มาแต่ก่อนหนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก คำสั่งของยายนี้ คอยสะกิดใจอยู่เสมอ
ครั้นอายุหลวงปู่มั่นได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความอยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้ศึกษาในสำนัก ท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรม เป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง ฯ จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ และ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะ ขนานนาม มคธ ให้ว่า ภูริทตโต เสร็จ อุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ณ วัดเลียบ ต่อไป
เมื่อแรกอุปสมบท หลวงปู่มั่น พำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบล เป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้างเป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัยคือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรียบร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌายาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทาน ธุดงควัตร ต่าง ๆ
ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขาท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับเจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโต ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอิสาน ทำการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสนา แก่สหธรรมิก และอุบาสก อุบาสิกา ต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย กระจายทั่วภาคอิสาน
ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพ ฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำพรรษา วัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษาแล้วออกไปพักตามที่วิเวก ต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบัน คือ อำเภอ โคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษาจำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใจ อำเภอเมืองพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย มีศิษยานิศิษย์มากหลาย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป
ธุดงควัตร ที่ท่านถือปฏิบัติ เป็นอาจิณ ๔ ประการ
๑. ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล จนกระทั่งวัยชรา จึงได้ใช้ คหบดีจีวรบ้าง เพื่ออนุเคราห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
๒. บิณฑบาติกังคธุดงค์ คือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั้งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต
๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ คือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียว เป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด
๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลาแม้อาพาธหนัก ในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ คืออยู่เสนา สนะป่า ห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ตามสมณวิสัย
เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลัง ที่จะภิกขาจาร บิณฑบาต เป็นที่ ๆ ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นคราวที่ไปอยู่ภาคเหนือ เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวก มูเซอร์ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้
ธรรมโอวาท คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อย ๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำด้วย กาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ ดังนี้
๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเป็นเลิศ
๒. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนเป็นคำกลอนว่าแก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่ ดังนี้
เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ ถือลัทธิฉันเจให้เข้าใจในทางถูก และเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้วได้กล่าวเป็นคติขึ้นว่า เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถึกดงเสือฮ้ายดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตาย เพราะบทบาททางความเพียร ผู้นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาทของ พระพุทธเจ้าโดยแท้ ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดยยึดหลักธรรมชาติของศิลธรรม ทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลายท่าน แสดงเอาแต่ใจความว่า....
การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง
การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง.... นี้แล คือ คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทำบาป... ถ้าทางการไม่ทำ แต่ทางวาจายังทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำ สั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือสั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศิลธรรม และคอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศิลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์
ปัจฉิมบท
ในวัยชรา นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบทไปตามสถานที่วิเวก ผาสุกวิหารหลายแห่งคือ ณ เสนาสนะป่า บ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง ฯ (ปัจจุบัย เป็นอำเภอ โคกศรีสุพรรณ) บ้าง ที่ใกล้ ๆ แถวนั้นบ้าง ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายของชีวิต
ตลอดเวลา ๘ ปี ในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระ อบรมสั่งสอน ศิษยานุศิษย์ทางสมถ วิปัสสนาเป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวัน ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้ และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ แล้วให้ชื่อว่า มุตโตทัย
ครั้นมาถึงปี พ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างขึ้น ๘๐ ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิด ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกำลังความสามารถ อาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษาศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ไกล ต่างก็ทยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษา แล้วนำมาที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และ ศิษยานุศิษย์ ก็มาเยี่ยมพยาบาลอาการอาพาธ มีแต่ทรงกับทรุด โดยลำดับ
ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้นำท่านมาถึงวัดป่าสุทธาวาส ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๒๓ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระคุณ พระธรรมเจดีย์เป็นต้น สิริชนมายุของท่านอาจารย์ได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน รวม ๕๖ พรรษา
การบำเพ็ญประโยชน์ ของท่านหลวงปู่มั่น ประมวลในหลัก ๒ ประการดังนี้
๑. ประโยชน์ชาติ ท่านหลวงปู่ ได้เอาธุระเทศนาอบรมสั่งสอนศิลธรรมอันดีงาม แก่ประชาชนพลเมือง ของทุกชาติ ในทุก ๆ ถิ่น ที่ท่านได้สัญจรไป คือ ภาคกลางบางส่วน ภาคเหนือเกือบทั่วทุกจังหวัด ภาคอิสานเกือบทั่วทุกจังหวัด ไม่กล่าวสอนให้เป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองของประเทศ ทำให้พลเมืองของชาติ ผู้ได้รับคำสั่งสอน เป็นคนมีศิลธรรมดี มีสัมมาอาชีพง่ายแก่การปกครอง ของ ผู้ปกครองชือว่า ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติ ตามควรแก่สมณวิสัย
๒. ประโยชน์ศาสนา ท่านหลวงปู่ ได้บรรพชา และอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ด้วยความเชื่อ และความเลื่อมใสจริง ๆ ครั้นบวชแล้ว ก็ได้ เอาธุระทางพระพุทธศาสนาด้วยความอุตสาหะพากเพียรจริง ๆ ไม่ทอดธุระในการบำเพ็ญ สมณธรรม
หลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติธุดงควัตรเคร่งครัดถึง ๔ ประการดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้น ได้ดำรงรักษาสมณกิจไว้มิให้เสื่อมสูญได้นำหมู่คณะ ฟื้นฟูปฏิบัติพระธรรมวินัย ได้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ และพระพุทธโอวาท หมั่นอนุศาสน์สั่งสอนศิษยานุศิษย์ ให้ฉลาดอาจหาญในการฝึกฝนอบรมจิตใจตามหลักการสมถวิปัสสนา อันเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ เป็นผู้มีนำใจเด็ดเดี่ยวอดทนไม่หวั่นไหวต่อ โลกธรรม แม้จะถูกกระทบกระทั่งด้วยโลกธรรมอย่างไร ก็มิได้แปรเปลี่ยนไปตาม ความมั่นอยู่ในธรรมวินัย ตามที่พระบรมศาสดาประกาศแล้วตลอดมาทำตัวให้เป็น ทิฏฐานุคติ แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี ท่านได้จาริกไปตามสถานที่วิเวกต่าง ๆ คือ บางส่วนของภาคกลาง เกือบทั่วทุกจังหวัด ในภาคเหนือ เกือบทุกจังหวัด ของภาคอิสานและแถมบางส่วนของต่างประเทศอีกด้วย นอกจากเพื่อวิเวกในส่วนตนแล้ว ท่านมุ่งไปเพื่อสงเคราะห์ผู้มีอุปนิสัยในถิ่นนั้น ๆ ด้วย ผู้ได้รับสงเคราะห์ ด้วยธรรมจากท่านแล้ว ย่อมกล่าวไว้ด้วยความภูมิใจว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็น
มนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
ส่วนหน้าที่ในวงการคณะสงฆ์ ท่านหลวงปู่ ได้รับพระกรุณาจากพระสังฆราชเจ้าในฐานะเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตติกา ให้เป็นพระอุปัชฌายะ ในคณะธรรมยุตติกา ตั้งแต่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูวินัยธรฐานานุกรม ของ เจ้าพระคุณพระอุบาลี ฯ (สิริจันทรเถระจันทร์) ท่านก็ได้ทำหน้าที่นั้นโดยเรียบร้อย ตลอดเวลาที่ยังอยู่เชียงใหม่ ครั้นจากเชียงใหม่มาแล้ว ท่านก็งดหน้าที่นั้น โดยอ้างว่าแก่ชราแล้ว ขออยู่ตามสบาย
งานศาสนาในด้านวิปัสสนาธุระ นับว่า ท่านได้ทำเต็มสติกำลัง ยังศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ ให้อาจหาญรื่นเริงในสัมมาปฏิบัติ ตลอดมา นับแต่พรรษาที่ ๒๓ จนถึงพรรษาที่๕๙ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน อาจกล่าวได้ ด้วยความภาคภูมิใจว่า ท่านเป็นพระเถระ ที่มีเกียรติคุณ เด่นที่สุดในด้านวิปัสสนาธุระรูปหนึ่ง ในยุคปัจจุบัน


อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ


                          สุชีพ ปุญญานุภาพ (13 เมษายน พ.ศ. 2460 ที่จังหวัดนครปฐม4 พฤษภาคม พ.ศ. 2543) เป็นนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับทั้งจากพุทธศาสนิกชนและคณะสงฆ์ไทยอย่างกว้างขวาง ในฐานะที่สมบูรณ์ด้วยวิชาความรู้ทางพระพุทธศาสนาอย่างเยี่ยมยอด หาใครเทียมได้ยาก ในเวลาเดียวกัน ก็มีความประพฤติที่ดีงาม สุภาพอ่อนโยน ระหว่างที่ท่านเคยบวชเป็นพระอยู่ในชื่อว่า สุชีโว ภิกขุ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด เพราะประการแรก ท่านเชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาเป็นเลิศ ประการที่สอง ท่านรอบรู้วิชาการสมัยใหม่อย่างเยี่ยม ประการที่สาม ท่านเป็นพระภิกษุไทยรูปแรกที่บรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างชาวพุทธในต่างประเทศกับประเทศไทย แม้ว่าท่านจะมีภาระงานมากมาย แต่ท่านก็เป็นนักเขียน ที่ผลิตงานเขียน ทั้งในรูปหนังสือและตำราเผยแพร่ความรู้ด้านพุทธศาสนา รวมทั้งนวนิยายอิงธรรมะเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ยังเป็นผู้บุกเบิกทำพจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนาอีกด้วย อาจารย์สุชีพได้ถึงแก่กรรมลง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 เวลา 15.51 น. สิริอายุ 83 ปี 21 วัน [1]


สุชีพ ปุญญานุภาพ เกิด 13 เมษายน พ.ศ. 2460 ที่ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางปลา (อำเภอบางเลน ในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 12 คนที่เกิดร่วมพ่อแม่เดียวกัน แต่ทั้งหมดเสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ เหลือท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ท่านว่า "บุญรอด" ภายหลัง ท่านได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น 'สุชีพ' ตามฉายาภาษาบาลีของท่านคือ "สุชีโว" (ผู้มีชีวิตที่ดี) ซึ่งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) พระอุปัชฌาย์ของท่านได้ตั้งให้เพื่อเป็นสิริมงคล

อาจารย์สุชีพสร้างลูกศิษย์ผู้ชำนาญทางพระพุทธศาสนามากมายทั่วประเทศ ทั้งพระทั้งฆราวาส ศิษยานุศิษย์เหล่านี้ต่างมีบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาระดับชั้นต่างๆ ของสังคม อาทิ พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), พระศรีญาณโสภณ (ปิยโสภณ), พระเทพปริยัติวิมล (แสวง ธมฺเมสโก)รักษาการอธิการบดี มหามกุฏราชวิทยาลัย, พระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย, รศ.ดร.สุภัทร ปัญญาทีป, รศ.สุวรรณ เพชรนิล,วศิน อินทสระ, ศ.แสง จันทร์งามหรือ ธรรมโฆษ, รศ.ดร.สุนทร ณ รังษี, เสถียร โพธินันทะ, สุเชาวน์ พลอยชุม ฯลฯ รวมทั้งเจ้าอาวาสวัดหลายแห่งทั่วประเทศไทย จากความพยายามในการพัฒนาการศึกษาสงฆ์จนเกิดเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ของท่าน

·         เปรียญ ๙ ประโยค วัดกันมาตุยาราม ขึ้นกับสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส

·         ปร.ด (กิตติมศักดิ์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

·         ปร.ด (กิตติมศักดิ์) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

·         ศน.ด (กิตติมศักดิ์) มหามกุฏราชวิทยาลัย

             ท่านสำเร็จการศึกษาเปรียญ ๙ ประโยค วัดกันตมาตุยาราม ซึ่งขึ้นกับสำนักเรียน วัดเทพศิรินทราวาส อย่างไรก็ดี แม้ว่าท่านจะจบเพียงเปรียญ ๙ ประโยค แต่ท่านก็มีวิริยะอุตสาหะเรียนรู้วิชาสมัยใหม่อื่นๆ ด้วยตนเองเป็นหลัก จึงชำนาญหลายๆ วิชา อาทิ ภาษาอังกฤษ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ภาษาสันสกฤต และ ภาษาปรากฤต ท่านสามารถค้นวรรณคดีและพจนานุกรมภาษาเหล่านี้ได้อย่างละเอียด สำหรับภาษาสันสกฤตนั้น ท่านเป็นศิษย์ของ พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ตอนหลัง ท่านได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหงและ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพเคยให้สัมภาษณ์ว่าบุคคลในพระพุทธศาสนาในอุดมคติที่ท่านถือเป็นแบบในการพัฒนาตนเป็นนัก วิชาการทางพระพุทธศาสนาคือ วชิรญาโณ ภิกฺขุ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)และ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านเคยให้เหตุผลว่าสองท่านนี้เป็นคนไทยรุ่นบุกเบิกที่ประยุกต์พระพุทธศาสนา ให้เข้ากับสังคมร่วมสมัยโดยนำเอาวิชาการสมัยใหม่มาใช้เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพอยู่ในเพศพระภิกษุจนได้ตำแหน่งสมณศักดิ์ที่ พระศรีวิสุทธิญาณสมัยที่ท่านยังเป็นพระภิกษุนั้น ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ไม่มีใครยุคนั้นเทียบได้ ต่อมาได้ลาสิกขาสู่เพศฆราวาส ระหว่างที่ท่านลาสิกขาเมื่ออายุ 35 ปี มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากร้องไห้เพราะความเสียดาย หลังจากสึกหาลาเพศแล้ว ท่านเช่าห้องพักที่ถนนข้าวสาร บางลำภู ก่อนจะย้ายไปปลูกบ้านหลังใหม่บริเวณถนนสุขุมวิท

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สุภาพอ่อนโยน ในด้านความรู้ทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านได้รับการยกย่องจาก ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรีและประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ว่าเป็น พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ หมายเลข 1 ของประเทศเพราะท่านสามารถอธิบายและตอบคำถามทาง พระพุทธศาสนา หรือหลัก พุทธธรรม ได้ทุกอย่างอย่างละเอียด พร้อมอ้างที่มาในพระไตรปิฎกให้เพื่อการค้นคว้าต่อไปอย่างแม่นยำอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองชาวพุทธจำนวนมากจึงได้กล่าวขานถึงท่านด้วยฉายา 'พระไตรปิฎกเคลื่อนที่' ตาม ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์[ต้องการอ้างอิง]

[แก้] บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย


สมัยเป็นพระภิกษุอยู่วัดกันตมาตุยาราม ท่านเปิดสอนวิชาพระพุทธศาสนาควบคู่กับวิชาทางโลกสมัยใหม่ให้ศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระภิกษุและสามเณร รวมทั้งประชาชนทั่วไป ต่อมา พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร ได้แนะนำให้ท่านรื้อฟื้นมหามกุฏราชวิทยาลัย อันเป็นวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ยุบกิจการไปนานแล้ว หลังจากประสบปัญหาต่างๆ และเสนอแนะให้ท่านมาใช้สถานที่ในวัดบวรนิเวศวิหาร ท่านจึงพาลูกศิษย์มาขอใช้สถานที่ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อเริ่มเปิดเรียนเป็นกิจลักษณะ แม้จะมีการต่อต้านจากพระสงฆ์ผู้ใหญ่มาก เพราะถือว่าวิชาความรู้สมัยใหม่ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นเดรัจฉานวิชา แต่ท่านก็สู้อดทน วัตถุประสงค์ก็คือ ต้องการสร้างบุคลากรที่สามารถประยุกต์ พุทธธรรม ให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ จนกระทั่ง ได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งได้ออกโรงสนับสนุนด้วยพระองค์เอง โดยทรงมีพระบัญชาให้ประกาศเพื่อตั้งสภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ มหาวิทยาลัยสงฆ์ ไทยในยุคใหม่

หลายสิบปีผ่านไป แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์เถื่อนเพราะรัฐบาลไม่ยอมรับรอง แต่พระสงฆ์ก็เรียกร้องรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด ปีพุทธศักราช 2527 รัฐบาลก็ตรากฎหมายรับรอง และในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งก็ได้รับการรองรับให้เป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ อย่างสมบูรณ์ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพมักห้ามศิษยานุศิษย์มิให้กล่าวหรือเขียนยกย่องท่านในที่สาธารณะ ตามนิสัยถ่อมตัวและรักสันโดษของท่าน จึงไม่ค่อยมีคนทราบประวัติและความดีที่ท่านทำอยู่เบื้องหลังการก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์เท่าใดนัก เนื่องในงานประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกครั้งที่ 4 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ที่ มหามกุฏราชวิทยาลัย และองค์กรพุทธชาวญี่ปุ่นร่วมเป็นเจ้าภาพจัด ระหว่างวันที่ 1-5 พฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมาและมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วทุกมุมโลก ดร. ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ ได้นำเสนอบทความว่าด้วยประวัติและผลงานของท่านอาจารย์สุชีพ เป็นครั้งแรกที่มีเขียนประวัติท่านเป็นภาษาอังกฤษค่อนข้างละเอียด โดยได้เชิญชวนให้บรรดาผู้นำชาวพุทธทั่วโลกที่มาร่วมชุมนุมร่วมยกย่องท่านอาจารย์สุชีพเป็น "บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย"(The Father of Modern Buddhist University in Thailand) เพื่อประกาศเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏ

คำว่า บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย เพื่อยกย่องอาจารย์สุชีพนี้ดร.ปฐมพงษ์ริเริ่มนำมาใช้ในบทความชื่อ Sujib Punyanubhab: His Life and Work เป็นบทความขนาดยาว รวมอยู่ในหนังสือ Buddhist Unity in the Globalisation Age ซึ่ง มหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาได้จัดพิมพ์เมื่อคราวจัดประชุมสุดยอดผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกนั่นเอง บทความดังกล่าวเชิญชวนให้บรรดาชาวพุทธระดับผู้นำซึ่งมาประชุมพร้อมกันได้รับรู้ถึงคุณูปการที่ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้กระทำต่อพระพุทธศาสนาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กล่าวคือสมัยศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมวัตถุนิยมใหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยมาก ประชาชนทั่วประเทศกำลังเบนเข็มไปพัฒนาประเทศในแนววัตถุนิยม หลงลืมพระพุทธศาสนา หลายคนพูดไทยปนฝรั่ง ในขณะที่พระสงฆ์ก็เทศน์คำไทยปนคำบาลีสันสกฤต ไม่มีความรู้ในวิชาการทางโลกพอจะเข้าใจชาวบ้าน พระสงฆ์ถูกมองว่าเป็นพวกไดโนเสาร์ของประเทศ การศึกษาของสงฆ์ไม่สัมพันธ์กับสังคมที่เปลี่ยนไป ฯลฯ

เมื่อสังคมมีแนวโน้มที่จะเชื่ออย่างนี้ สุชีโว ภิกฺขุ (หรือ อาจารย์ สุชีพ ปุญญานุภาพ ) ได้พยายามรื้อฟื้นมหาวิทยาลัยสงฆ์ คือ มหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ถูกยุบไปใหม่ แรกเริ่มท่าน ได้เปิดสอนวิชาพระพุทธศาสนาแนวประยุกต์กับศาสตร์สมัยใหม่ที่วัดกันตมาตุยาราม ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเยาวราช ให้แก่พระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา หลังจากนั้น พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ ป.ธ.๖) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารได้นิมนต์ท่านให้มาใช้สถานที่ของวัดบวรนิเวศวิหารเพื่อเปิดสอนให้เป็นกิจจะลักษณะในรูปวิทยาลัย พร้อมทั้งแนะให้รื้อฟื้น มหามกุฏราชวิทยาลัย ด้วย

ท่านสุชีโว ภิกขุจึงพาลูกศิษย์ที่สนใจเรียนด้วยมาเปิดเรียนที่ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยใช้อาคารตึก มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นสถานที่เรียน พระสงฆ์สามเณรที่สนใจประยุกต์หลัก พุทธธรรม ก็พากันมาเรียนกับท่านสุชีโว ภิกขุเป็นจำนวนมาก แต่พอมีข่าวว่าท่านสุชีโว ภิกขุจะรื้อฟื้นวิทยาลัยสงฆ์แล้วเปิดการสอนในรูปแบบมหาวิทยาลัย ปรากฏว่าบรรดาพระเถรานุเถระระดับเจ้าอาวาสวัดทั่วประเทศจำนวนมากต่อต้าน บอกว่าวิชาสมัยใหม่เป็นเดรัจฉานวิชา ขณะเดียวกัน ก็พากันห้ามมิให้พระภิกษุสามเณรในวัดออกไปร่วมกิจกรรมกับสุชีโว ภิกขุ พระเถระผู้ใหญ่หลายท่านอ้างว่าการไปเรียนวิชาสมัยใหม่จะทำให้พระสงฆ์สามเณรสึกหาลาเพศกันมากขึ้น ทำให้จำนวนพระภิกษุสามเณรลดลง ตัวท่านเองเป็นเป้าของการติฉินนินทานานัปประการ ถูกมองว่าจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พระพุทธศาสนาก็มี

สุชีโว ภิกขุจึงพยายามอย่างหนักที่จะทำความเข้าใจ กับพระสงฆ์ผู้ใหญ่ซึ่งมีจำนวนน้อยมากที่เห็นด้วย ขณะเดียวกัน ก็พยายามบรรยายและปาฐกถาให้บรรดาข้าราชการไทยที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่เห็นคุณค่า แต่กระแสสังคมในสมัยนั้น คล้อยตามพระเถรานุเถระผู้ใหญ่สูงมาก แนวคิดของท่านจึงถูกต่อต้านหลังจากพยายามอยู่หลายปี ในที่สุด ท่านสุชีโว ภิกขุจึงเข้าไปกราบทูล สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นส่วนตัว โดยมี พระมหาเจริญ สุวฑฺฒโน วัดบวรนิเวศวิหาร (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน ช่วยอธิบายให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ฟังด้วย สุชีโว ภิกขุได้อธิบายว่า

1.       พระสงฆ์ที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสงฆ์ล้วนแต่หนักแน่นในพระพุทธศาสนาเพราะต่างได้เปรียญสูงๆ กันมาแล้ว การเปิดมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาจะช่วยให้พระสงฆ์ได้มีความรู้ในการประยุกต์หลัก พุทธธรรม ให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่

2.       ศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหลายมีประโยชน์ในการเป็นบันไดหรือรางรถไฟให้พระพุทธศาสนา (ซึ่งท่านเปรียบเหมือนตัวรถไฟ) ได้วิ่งไปโดยสะดวก

3.       ถึงพระสงฆ์ที่บวชเรียนและจบจากมหาวิทยาลัยสงฆ์จะสึกหาลาเพศไป ก็จะเป็นศาสนทายาท ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหน่วยงานของตนๆ ได้

หลังจากทรงทราบรายละเอียด อันรวมทั้งวัตถุประสงค์และวิธีดำเนินการแล้ว สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ก็ทรงออกหน้าให้ความอุปถัมภ์ เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ทรงเห็นชอบขึ้นมา คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหารก็เห็นชอบด้วย, ให้ความอุปถัมภ์จนถึงช่วยชี้แจงให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วไปเข้าใจด้วย ในที่สุด มหามกุฏราชวิทยาลัย อันเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกก็เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2488 โดยมีสุชีโว ภิกขุ เป็นเลขาธิการท่านแรก เมื่อเห็นมหามกุฏราชวิทยาลัยสามารถเปิดสอนได้ ฝ่ายคณะสงฆ์มหานิกายก็รื้อฟื้น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ขึ้นตามมาในปี พ.ศ. 2490 ประเทศไทยเราจึงมีมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สร้างศาสนทายาทถึง 2 แห่งซึ่งขณะนี้ ได้ขยายวิทยาเขตไปทั่วประเทศเพราะความมานะบากบั่นริเริ่มของท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ โดยแท้ บทความได้สรุปว่าคุณูปการที่อ.สุชีพได้กระทำเหล่านี้ สมควรที่ชาวพุทธจะร่วมกันเชิดชูเกียรติท่านอาจารย์ สุชีพ ปุญญานุภาพ ไว้ในฐานะ บิดาแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย ในบันทึกประวัติศาสตร์เพื่อให้ชาวพุทธรุ่นหลังได้รับรู้ต่อไป

     อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมสำคัญๆ ทางพระพุทธศาสนาอื่นๆ หลายเรื่องที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักอาทิ

·         เป็นผู้ริเริ่มหรือรื้อฟื้นให้มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น หลังจากที่เคยมีการศึกษาสงฆ์ระดับวิทยาลัยแต่ถูกยุบไปในสมัยรัชกาลที่ 5

·         หลังจากมหามกุฏราชวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นมาแล้ว พระสงฆ์สามเณรไม่มีทุนเพื่อศึกษาเล่าเรียนและทำวิจัยทางพระพุทธศาสนา ท่านได้ดำริก่อตั้ง มูลนิธิปุญญานุภาพเพื่อหาทุนสนับสนุน โดยท่านบริจาคเงินค่าลิขสิทธิ์จากงานเขียนของท่านทั้งหมดเพื่อก่อตั้งทุนในช่วงเริ่มต้น

·         เป็นผู้เริ่มวางรากฐานให้มีการก่อตั้ง ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย โดยมีศิษย์ท่านดำเนินการออกหน้า กล่าวคือคุณบุญยง ว่องวานิชและอาจารย์ เสถียร โพธินันทะ

·         เป็นพระภิกษุไทยคนแรกที่ปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในที่ประชุมที่มีฝรั่งต่างชาติ จนกลายเป็นแบบให้พระภิกษุยุคใหม่ได้ปรับใช้

·         เป็นบิดาแห่งวิชาศาสนาเปรียบเทียบในประเทศไทย เพราะเป็นคนไทยคนแรกที่นำเอาวิชาศาสนาเปรียบเทียบมาใช้สอนในมหาวิทยาลัย กล่าวคือเริ่มที่มหามกุฏราชวิทยาลัย

·         เป็นคนแรกที่บุกเบิกนำเอาวิชาพระพุทธศาสนาไปใช้สอนในลักษณะวิเคราะห์ระดับมหาวิทยาลัย

·         หลังจากที่ชาวพุทธตั้งหน่วยงานพระพุทธศาสนาชื่อ "World Fellowshipof Buddhists" ท่านเป็นคนแปลเป็นภาษาไทยว่า องค์การพุทธ ศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

·         เป็นคนบัญญัติศัพท์คำว่า สมาคมบาลีปกรณ์ จากคำภาษาอังกฤษว่า "Pali Text Society"

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพได้ผลิตงานวิชาการออกมามากมาย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ งานที่ทำให้อาจารย์สุชีพ โด่งดังมากที่สุดได้แก่ พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ซึ่งริเริ่มเขียนตั้งแต่ยังเป็นสามเณรอายุ 18 ปี อีกเล่มหนึ่งที่กล่าวขวัญถึงมากได้แก่ คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา

อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพนับเป็นนักวิชาการที่มีพรสวรรค์ในการประพันธ์นวนิยายอิงธรรมะมาก ท่านเขียนขึ้นมาหลายเล่ม แต่ละเล่มเป็นที่สนใจของบรรดาพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง ชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนอ่านจำนวนมากไปขออ่านนวนิยายอิงธรรมะของท่านถึงแท่นพิมพ์ของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยก็มี จนกระทั่งว่าศิษย์ของท่านต้องเดินรอยตาม ไม่ว่าจะเป็น วศิน อินทสระ หรือ แสง จันทร์งาม บทประพันธ์ที่ท่านแต่งและยังกินใจอยู่จนทุกวันนี้ ได้แก่ ใต้ร่มกาสาวพัสตร์, ลุ่มน้ำนัมมทา, อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก, กองทัพธรรม, เชิงผาหิมพานต์ ฯลฯ นวนิยายเหล่านี้ โดยเฉพาะเล่มหลัง มีอิทธิพลต่อพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) เป็นอย่างมาก

ประวัติความเป็นมาของพระนาคแสนกับพญามิลินท์สมัยอดีต

               ในสมัยของ สมเด็จพุทธกัสสปะ มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าวิชิตาวี เสวยราชย์อยู่ใน สาคลนครราชธานี ได้ทรงสร้างมหาวิหารไว้ที่ริมแม่น้ำคงคา ถวายพระเถระทั้งหลายที่ทรงคุณธรรม มีพระภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลรูปหนึ่ง เรียกสามเณรรูปหนึ่งว่า จงมานี่...สามเณร! จงหอบเอาหยากเยื่อไปเททิ้งเสีย สามเณรรูปนั้นก็เฉยอยู่ เหมือนไม่ได้ยินถึงสามครั้ง จึงคิดว่าสามเณรรูปนี้หัวดื้อ แล้วเอาด้ามไม้กวาดตีสามเณรจนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เมื่อสามเณรเอาหยากเยื่อไปทิ้งนั้น ได้ปรารถนาว่า ด้วยผลบุญที่เราหอบหยากเยื่อมาทิ้งนี้ หากเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด เราจะเกิดในภพใดๆก็ตาม ขอให้เรามีเดชเหมือนกับดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงวันฉะนั้นเถิด สามเณรตั้งใจดังนี้แล้ว ก็เดินไปอาบน้ำที่แม่น้ำคงคา ได้เห็นละลอกคลื่นในแม่น้ำนี้มากมาย ก็ยินดีปรีดาจะใคร่มีปัญญาเฉลียวฉลาดไม่รู้สุดรู้สิ้น ดุดลูกคลื่นในแม่น้ำนั้น จึงปรารถนาขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า ข้าพเจ้ายังไม่ถึงนิพพานตราบใด ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปเกิดในชาติใดๆ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาไม่สิ้นสุด เหมือนกับลูกคลื่นในแม่น้ำคงคานี้เถิด ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์นั้น เมื่อลงไปที่ท่านํ้า ก็ได้ยินเสียงสามเณรตั้งความปรารถนา จึงคิดว่าสามเณรนี้เป็นผู้ที่เราใช้ก็ยังปรารถนาอย่างนี้ จึงตั้งความปรารถนาว่าข้าพเจ้ายังไม่สำเร็จพระนิพพานตราบใด ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาที่สุดมิได้ เหมือนกับฝั่งแม่น้ำคงคานี้ ให้เป็นผู้สามารถแก้ไขปัญหาทั้งปวง ที่สามเณรนี้ไต่ถามได้สิ้น เมื่อบุคคลทั้งสองนั้น ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเทพยาดาและมนุษย์ ก็ล่วงมาถึง ๑ พุทธันดร พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า "เมื่อเราปรินิพพานล่วงไปได้ ๕๐๐ ปีแล้ว บุคคลทั้งสองนั้นจะเกิดขึ้น ธรรมวินัยอันใด อันเป็นของสุขุมที่เราได้แสดงไว้ ธรรมวินัยอันนั้น บุคคลทั้งสองนั้น จะแก้ไขให้หมดฟั่นเฟือน ด้วยการไต่ถามปัญหากัน ดังนี้

ต่อมาสามเณรนั้น ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้ามิลินท์ ในสาคลนคร เป็นผู้ฉลาด มีความคิดดี มีถ้อยคำหาผู้ต่อสู้ได้ยาก ไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา เที่ยวเบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์ ด้วยการถามปัญหาตามลัทธิเดียรถีย์ จนพากันหนีไปสู่ป่าหิมพานต์ เมืองสาคลนครจึงเป็นเหมือนว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง ๑๒ ปี ในคราวนั้นมีพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ อาศัยอยู่ที่ถํ้าในภูเขาหิมพานต์ ได้ทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้พากันไปอ้อนวอน มหาเสนะเทพบุตร ณ เกตวิมาน ให้ไปเกิดในมนุษยโลกเป็นบุตรของพราหมณ์ผู้หนึ่ง โดยมีชื่อว่า นาคเสนกุมาร นาคเสนกุมาร บวชเป็นสามเณรที่ถํ้ารักขิต ท่ามกลางพระอรหันต์จำนวนมาก พระโรหณะ ผู้เป็นอุปัชฌาย์เห็นปัญญาอันแหลมคม ของสามเณรนาคเสนแล้ว จึงให้เรียนพระอภิธรรมก่อน สามเณรนาคเสนเรียนได้อย่างรวดเร็ว พระอรหันต์ทั้งหลายจึงประชุมกันให้สามเณรนาคเสนบวชเป็นภิกษุ โดยมีพระโรหณะเป็นพระอุปัชฌายะ วันรุ่งขึ้นพระนาคเสนออกบิณฑบาตกับพระอุปัชฌาย์ เดินตามหลังท่านและคิดในใจว่า พระอุปัชฌาย์ของเราโง่เขลาจริง ที่ให้เราเรียนพระอภิธรรมก่อนพระพุทธพจน์อื่นๆ พระโรหณะทราบความคิดพระนาคเสน จึงกล่าวว่า นาคเสนคิดอย่างนั้นหาควรไม่ พระนาคเสนจึงได้รู้ว่า พระอุปัชฌาย์ของตนรู้วารจิต จึงคิดใหม่ว่าพระอุปัชฌาย์ของเรามีปัญญาดีแท้ จึงกล่าวขออภัยท่านในการคิดล่วงเกิน พระโรหณะกล่าวว่า จะอภัยโทษล่วงเกินด้วยเหตุเพียงเท่านี้ หาสมควรไม่ นาคเสนต้องไปทำกิจพระศาสนาอย่างหนึ่งให้สำเร็จ เราจึงจะอภัยโทษให้ คือ มีพระราชานามว่า มิลินท์ ในสาคลราชธานี ทรงโปรถถามปัญหาต่างๆ ให้เธอไปทำพระราชาองค์นั้นให้เลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว นั่นคือการอภัยโทษของเรา พระนาคเสนตอบว่า อย่าว่าแต่เพียงพระเจ้ามิลินท์องค์เดียวเลย แม้ร้อยแห่งพระเจ้ามิลินท์ ท่านก็สามารถให้เลื่อมใสได้

พุทธศาสนาสมัยพระเจ้ามิลินท์

พระพุทธศาสนาเจริญเฟื่องฟูอีกครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือ พระเจ้าเมนันเดอร์ (Menander) ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีกที่ปกครองอินเดียอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทับเข้ารุกรานอินเดีย แคว้นที่ทรงตีได้แล้วโปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล โดยทิ้งกองทหารกรีกไว้บางส่วน ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งตนเป็นอาณาจักรอิสระขึ้น เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว อาณาจักรที่มีกำลังมากคือ อาณาจักรซีเรีย และอาณาจักรบากเตรีย ปัจจุบันคือ เตอรกี และอัฟกานิสถาน ซีเรียเป็นสื่อเชื่อมอารยธรรมกรีกกับอินเดียเป็นเวลานานถึง ๒๔๗ ปี จึงถูกโรมันตีแตก ส่วนบากเตรียเดิมก็อยู่ในอำนาจของซีเรียมาสถาปนาเป็นรัฐอิสระได้เมื่อ พ.ศ. ๒๘๗ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในแถบนี้ของโลกสับสนวุ่นวายด้วยการแย่งชิงอำนาจกันอยู่ประมาณร้อยปีเศษ จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๓๙๒ พระราชาเชื้อสายกรีกพระองค์หนึ่ง พระนามว่า เมนันเดอร์ หรือที่เรียกในคัมภีร์บาลีว่า พระเจ้ามิลินท์ ได้แผ่อำนาจลงมาถึงตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำคงคา เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท (ของพราหมณ์) และศาสนาปรัชญาต่างๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชในลัทธิศาสนาต่างๆ ในเรื่องศาสนาและปรัชญา ปรากฏว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้ จนกระทั่งคณะสงฆ์เลือกพระเถระผู้สามารถรูปหนึ่งมายังเมืองสาคละ เพื่อสนทนาเรื่องศาสนาและปรัชญากับพระเจ้ามิลินท์ พระเถระผู้นั้นคือพระนาคเสน พระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวนั้นเสด็จไปสนทนาเป็นเชิงปุจฉาวิสัชนา อภิปรายกันขึ้นเป็นเวลาหลายวันผลปรากฏว่า พระเจ้ามิลินท์ยอมแพ้พระนาคเสน ข้อสนทนาระหว่างทั้งสองท่านนี้ ได้รวบรวมไว้เป็นคัมภีร์ เรียกว่า มิลินทปัญหา ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง

 

 

ประวัติของพระยามิลินท์กับพระนาคแสนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

หลังจากที่พระเจ้าปุษยมิตรแห่งราชวงศ์สุงคุได้ทำลายพุทธศาสนาลงอย่างหนัก ทำให้สถานการณ์พุทธศาสนาโดยรวมอ่อนแอลงอย่างมากแต่ศาสนาพราหมณ์เริ่มได้รับ การสนับสนุนฟื้นฟูมากขึ้น ราชวงศ์สุงคะปกครองอยู่ ๑๐๒ ปีจึงสิ้นสุดลง ต่อมาจึงปกครองด้วยราชวงศ์กานวะ ราชวงศ์นี้ส่วนมากเป็นพุทธศาสนิกชนจึงทำให้สถานการณ์พุทธศาสนาดีขึ้นมาก ราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ปกครอง ๔ พระองค์ รวมเวลา ๔๕ ปี ในยุคนี้ได้มีพระมหากษัตริย์ที่มีเดชานุภาพยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในอินเดียทาง เหนือโดยสายเลือด พระองค์ไม่ใช่ชาวอินเดียอารยัน แต่เป็นเชื้อสายฝรั่งกรีก ผู้ที่ทำให้พุทธศาสนาแผ่ไพศาลในอินเดียเหนือและเลยไปถึงเอเชียกลางพระองค์คือพระเจ้ามิลินท์หรือเมนันเดอร์ตามสำเนียงกรีก

๑. พระเจ้ามิลินท์ ( King Minlinda )

พระ เจ้ามิลินท์ (Milinda) หรือเมนันเดอร์ (Menander) ได้ขยายอิทธิพลลงมาถึงเมืองตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำคงคา ปรากฏในตำนานฝ่ายบาลีและฝ่ายจีนว่า ตอนแรกพระองค์มิได้เลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้ขัดขวางพุทธศาสนาด้วยพระราโชบายต่าง ๆ อนึ่ง เนื่องจากพระองค์เป็นผู้แตกฉานในวิชาไตรเพทและศาสนาปรัชญาต่าง ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย จึงได้เที่ยวประกาศโต้วาทีกับเหล่าสมณะพราหมณ์ ก็สามารถเอาชนะสมณะพราหมณ์เหล่านั้นรวมทั้งพระภิกษุในพุทธศาสนา ขนาดภิกษุสงฆ์พากันอพยพหนีออกจากนครสาคละ ( ปัจจุบันอยู่ในเขตปากีสถาน ) จนหมดสิ้น เมืองสาคละว่างภิกษุสงฆ์อยู่ถึง ๑๓ ปี จนกระทั้งคณะสงฆ์ต้องเลือกสรร ส่งพระภิกษุหนุ่มผู้เจนจบพระไตรปิฎกและลัทธินอกพระศาสนาองค์หนึ่งชื่อ พระนาคเสนขึ้น ข้อความที่อภิปรายปุจฉาวิสัชนากันนั้นต่อมามีผู้รวบรวมขึ้นเรียกว่า มิลินทปัญหา (Milindapanha ) คัมภีร์มีทั้งในฉบับสันสกฤตและบาลี ในฉบับสันสกฤต ให้ชื่อว่า นาคเสนภิกษุสูตรได้มีผู้แปลถ่ายออกสู่ภาษาจีนประมาณพันปีเศษมาแล้ว ส่วนภาษาบาลีนั้นพระพุทธโฆษาจารย์ คันธารจนาจารย์ ชาวมคธ เป็นผู้แต่งคำนิทาน และคำนิคมประกอบเข้าไว้ในมิลินทปัญหาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๙ส่วนเนื้อธรรมอันเป็นตัวปัญหามิได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดแต่งอย่างไรก็ดีในฉบับสันสกฤตได้บอกชาติภูมิของพระนาคเสนว่าเป็นแคว้นกัศมีระ ในฉบับบาลีกล่าวว่า

พระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนท่านเกิดใน วรรณะพราหมณ์บิดาชื่อโสณุตตระอาศัยอยู่ ณ กชังคลคาม ข้างภูเขาหิมาลัย เป็นข้อความตรงกัน (ภูเขาหิมาลัยตั้งต้นจากแคว้น กัศมีระ (Kashmir) ของอินเดียผ่านเนปาล ธิเบต ภูฐาน สิกขิมจดชายแดนพม่า) ในยุคนั้นพุทธศาสนานิกายสรวาส ดิกวาทิน กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ พระนาคเสนอาจจะสังกัดนิกายนี้ และคัมภีร์ฝ่ายจีนกล่าว่า พระนาคเสนได้รจนาคัมภีร์ตรีกายศาสตร์ด้วยผลของการอภิปราย นับเป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงต่อพุทธศาสนา เพราะพระนาคเสนชนะ ส่วนพระเจ้ามิลินท์ยอมจำนนเกิดพระราชศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาเพราะทรงแจ่มแจ้งในพุทธธรรมโดยตลอดมา วาระสุดท้ายของพระองค์ทรงสวรรคตที่ในกระโจมที่พัก และมีการพิพาทกันระหว่างเจ้าเมืองต่างๆ ของอินเดีย และมีการแจกพระอัฐิของพระเจ้ามิลินท์แก่เมืองต่าง ๆ คล้ายกับพระศาสดา หลังจากการสวรรคตของพระเจ้ามิลินท์แล้ว กษัตริย์กรีกที่ปกครององค์ต่อมาอ่อนแออาณาจักรจึงแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์นี้คือพระเจ้าเฮอมีอุส (Hermaeus) ก่อนที่อาณาจักรจะแตกสลายพร้อมกับการขยายอำนาจของพวกสกะ (Sakas) จากเอเชียกลางเข้าครอบงำอาณาจักรของพระเจ้ามิลินท์เดิม เมื่อทราบประวัติพระเจ้ามิลินท์แล้ว ควรที่จะได้ทราบประวัติของพระนาคเสนพอสมควรดังนี้

 

 

๒. พระนาคเสน ( Nagasena )

ท่านนับว่าเป็นผู้ทำให้พระเจ้ามิลินท์กลับมานับถือพุทธศาสนา และสนับสนุนเป็นอย่างดี ในมิลินทปัญหากล่าวว่า พระนาคเสนเกิดที่เมืองกชังคละ แถบภูเขาหิมาลัย บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อว่าโสณุตตระ ในวัยเด็กอายุ ๗ ขวบได้ศึกษาไตรเพทและศาสตร์อื่น จนเจนจบ จึงถามบิดาว่ามีศาสตร์อื่นที่จะต้องเรียนบ้างไหม บิดาตอบว่ามีเท่านี้ ต่อมาวันหนึ่งได้พบพระโรหนะมาบิณฑบาตที่บ้านบิดา เกิดความเลื่อมใสจึงให้บิดานิมนต์มาที่บ้านถวายภัตตาหารและคิดว่าพระรูปนี้ ต้องมีศิลปวิทยามาก จึงขอศึกษากับพระเถระ พระเถระกล่าวว่า ไม่ อาจสอนผู้ที่ไม่บวชได้ จึงขอบิดาบวชที่ถ้ำรักขิต ได้ศึกษาพุทธศาสนากับพระโรหนะเถระ ต่อมาเมื่ออายุ ๒๐ ปีก็ได้รับการอุปสมบท วันหนึ่งเกิดตำหนิอุปัชฌาย์ในใจว่าอุปัชฌาย์ของเราช่างโง่จริง ให้เราศึกษาพระอภิธรรมก่อนเรียนสูตรอื่น ๆ พระโรหนะผู้อุปัชฌาย์ทราบกระแสจิตจึงกล่าวว่า พระนาคเสนคิดอย่างนี้หาถูกต้องไม่ พระนาคเสนทราบว่าพระอุปัชฌาย์รู้วาระจิตของตน จึงตกใจและขอขมา แต่พระเถระกล่าวว่า เราจะให้อภัยได้ง่าย ๆ ไม่

พระนาคเสนต้องไปทำภารกิจอย่างหนึ่งที่สำคัญคือต้องไปโปรดพระเจ้ามิลินท์ที่ เมืองสาคละ ให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยก่อนจึงจะอภัยให้ และแล้วพระโรหนะก็ส่งไปศึกษาเพิ่มเติมกับพระอัสสคุตตะ ที่วัตตนิยเสนาสนะวิหารเมืองสาครพักอยู่ ๗ วัน พระเถระจึงยอมรับเป็นศิษย์ ต่อมาได้แสดงธรรมเทศนาให้เศรษฐีท่านหนึ่งฟังจนทำให้เขาบรรลุโสดาบัน และเมื่อมาไตร่ตรองคำสอนที่ตนสั่งสอนอุบาสกก็บรรลุโสดาบันตาม ต่อมาไม่นานจึงเดินทางจากสาคละไปสู่ปาฎลีบุตร พักที่อโศการามแล้วศึกษาธรรมกับพระธรรมรักขิตจนจบภายใน ๖ เดือนพระนาคเสนเดินทางไปบำเพ็ญเพียรที่รักขิตคูหาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ คณะสงฆ์ทั้งหลายจึงอนุโมทนาแล้วประกาศให้ท่านไปโต้วาทะกับพระยามิลินท์ พระนาคเสนจึงเดินทางไปนครสาคละ แล้วพบพระเจ้ามิลินท์ที่นั้น เมื่อได้ตอบโต้ปัญหากับพระเจ้ามิลินท์แล้ว ทำให้พระองค์เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนาขึ้นมา และเปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เวสสันดรชาดก



         พระเวสสันดรเป็นโอรสของพระนางผุสดีกับพระเจ้าสัญชัยแห่งแคว้นสีพี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 ปี ได้อภิเษกสมรสกับพระนางมัทรีเจ้าหญิงแห่งแคว้นมัททะ มีพระโอรสและพระธิดา คือ ชาลีกุมาร และกัณหากุมารี
พระเวสสันดรใจบุญมาก สร้างโรงทานไว้บริจาคคนยากจน 6 แห่ง ต่อมาได้บริจาคช้างปัจจัยนาค ซึ่งเป็นช้างมงคลให้แก่แคว้นกาลิงคะที่ส่งทูตมาขอ ชาวเมืองสีพีไม่พอใจ พากันกราบทูลพระเจ้าสัญชัยให้เนรเทศออกจากเมือง พระเจ้าสัญชัยจำต้องยอมทำตามมติของมหาชน พระเวสสันดรเองก็ยอมรับมตินั้น แต่ก่อนจากไปนั้นได้ทูลขอบริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่เรียกว่า สัตตสดกมหาทานคือให้ของอย่างละ 700 เป็นทาน มีช้าง 700 เชือก ม้า 700 ตัว วัวนม 700 ตัว รถ 700 คัน นารี 700 นาง ทาส 700 คน ทาสี 700 คน ผ้าอาภรณ์อย่างละ 700 จากนั้นได้เสด็จออกจากเมืองพร้อมกับพระนางมัทรี เจ้าหญิงกัณหา และเจ้าชายชาลี ไปจนถึงเขาวงกต ในป่าหิมพานต์แล้วได้บวช เป็นฤาษีแยกกันอยู่ โดยพระโอรสพระธิดาอยู่กับพระนางมัทรี ต่อมา พราหมณ์เฒ่าชื่อ ชูชก มาทูลขอชาลีกุมาร กับกัณหากุมารีพระเวสสันดรก็ได้ยกให้โดยตีราคาค่าตัวสองกุมารีว่ามีราคาค่าไถ่ตัวเป็นทองคำพันลิ่ม (ก้อน) พร้อมทั้งทาสีหนึ่งร้อย ช้างหนึ่งร้อย ม้าหนึ่งร้อย โคอุสภราชหนึ่งร้อย และทองคำร้อยลิ่ม (ก้อน)พระอินทร์พอทราบเหตุนั้นก็เกรงว่าพระเวสสันดรจะยกพระนางมัทรีให้คนอื่นอีก จึงแปลงเป็นพราหมณ์มาทูล ขอพระนางมัทรีแล้วได้ถวายคืน เพื่อให้พระนางอยู่ปรนนิบัติพระสวามีพร้อมกับถวายพรแด่พระเวสสันดร 8 ประการคือ
1.
ขอให้พระเจ้าสัญชัยมาทูลเชิญเสด็จกลับไปครองราชสมบัติ
2.
ขอให้ได้ช่วยปลดเปลื้องชาวเมืองพ้นภัยทุกเมื่อ
3.
ขอให้ชาวแคว้นสีพีมีแต่ความสุข
4.
ขออย่าได้ตกอยู่ในอำนาจสตรี
5.
ขอให้ได้พบพระโอรสพระธิดาที่พลัดพรากกันไป
6.
ขอให้ได้อาหารทิพย์ทุกวันนับแต่ได้กลับไปครองราชสมบัติ
7.
ขอให้มีจิตผ่องใสในการให้ทาน และของที่ให้อย่าได้หมด
8.
ขอให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ และเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ขอให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ฝ่ายชูชกพาสองกุมารออกจากป่ามาก็เกิดหลงทางจนถึงเมืองสีพี และได้เข้าเฝ้าพระเจ้าสัญชัย พระเจ้าสัญชัยและพระนางผุสดีจำหลานได้ รับสั่งให้นำทรัพย์สินไถ่ตัวหลานรักทั้งสองไว้ พระเจ้าสัญชัยตรัสถามถึงพระเวสสันดรและพระนางมัทรี สองพระกุมารก็กราบทูลตัดพ้อพระเจ้าปู่พระองค์ทรงสำนึกผิดจึงได้เสด็จไปรับพระเวสสันดรกับพระนางมัทรีกลับมายังแคว้นสีพี หลังจากที่ทรงจากแคว้นสีพีไปเป็นเวลาถึง 1 ปี กับ 15 วัน พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมีต่อไป ภพนี้เป็นภพสุดท้ายที่ทรงบำเพ็ญบารมีเบื้องหน้าแต่นี้จักเสด็จอุบัติในดุสิตภพและเมื่อเสด็จจุติจากดุสิตภพนั้นแล้วก็จะเสด็จอุบัติในมนุษยโลกเป็นพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายไม่ทรงเกิดอีกต่อไป

เนื้อเรื่องย่อของกัณฑ์ต่างๆ


กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร      ภาคสวรรค์ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญ ท้าวสักกะเทวราชสวามีทรงทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก พร้อมให้พร ๑๐ ประการ คือ ให้ได้อยู่ในประสาทของพระเจ้าสิริราชแห่งนครสีพี ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ ขอให้คิ้วดำสนิท ขอให้พระนามว่า ผุสดี ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทั้งหลายและมีใจบุญ ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจากสตรีสามัญคือแบนราบในเวลาทรงครรภ์ ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน ขอให้มีเกศาดำสนิท ขอให้มีผิวงาม และข้อสุดท้ายขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้

กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรบริจาคทานช้างปัจจัยนาค ประชาชนสีพีโกรธแค้นจึงขับไล่ให้ไปอยู่เขาวงกต   พระนางผุสดีได้จุติลงมาเป็นพระราชธิดาพระเจ้ามัททราช เมื่อเจริญชนม์ได้ ๑๖ ชันษาจึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัย แห่งสีวิรัฐนคร ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า เวสสันดรในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึงนำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมีให้มีนามว่า ปัจจัยนาคเมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ ๑๖ พรรษา พระราชบิดาก็ยกสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี พระราชบิดาราชวงศ์มัททราช มีพระโอรส ๑ องค์ชื่อ ชาลี ราชธิดา ชื่อ กัณหา พระองค์ได้สร้างโรงทาน บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ ต่อพระเจ้ากาลิงคะแห่งนครกาลิงครัฐได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาค พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาค พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่พระเจ้ากาลิงคะ ชาวกรุงสัญชัย จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร

กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกมหาสัตสดกทาน คือ การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่       ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลี และกัณหาออกจากพระนคร จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตสดกทาน คือ การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่ อันได้แก่ ช้าง ม้า โคนม นารี ทาสี ทาสาสรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ รวมทั้งสุราบานอย่างละ ๗๐๐

กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศน์ เป็นกัณฑ์สี่กษัตริย์เดินดงบ่ายประพักตร์สู่เขาวงกต    เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหนาศาลาพระกษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระเวสสันดรทรงปฏิเสธ และเมื่อเสด็จถึงถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรม ซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราช กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนววชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา

 

 

กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก เป็นกัณฑ์ที่ชูชกได้นางอมิตตามาเป็นภรรยาและหมายจะได้โอรส และธิดาพระเวสสันดรมาเป็นทาส    ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชก พนักในบ้านทุนวิฐะ เที่ยวขอทานในเมืองต่างๆ เมื่อได้เงินถึง ๑๐๐ กหาปณะ จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมีย แต่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัวเมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูชก นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชกได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยาตน หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตีนางอมิตดา ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพราหมณ์เจตบุตรผู้รักษาประตูป่า

กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน เป็นกัณฑ์ที่พรานเจตบุตรหลงชูชก และชี้ทางสู่อาศรมอจุตฤๅษี  ชูชกได้ชูกลักลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตรอ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของเจ้ากรุงสญชัยจึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี

กัณฑ์ที่ ๗ มหาพล เป็นกัณฑ์ป่าใหญ่ ชูชกหลอกหล่อจุตฤๅษีให้บอกทางสู่อาศรมพระเวสสันดรแล้วก็รอนแรมเดินไพรไปหา   เมื่อถึงอาศรมฤๅษี ชูชกได้พบกับจุตฤๅษี ชูชกใช้คารมหลอกหล่อนจนอจุตฤๅษี ให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร

กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงได้ทานสองโอรสแก่เฒ่าชูชก   พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพรากรุ่งเช้าเมื่อนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้วชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอสองกุมาร สองกุมารจึงพากันลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระพระเวสสันดรจึงลงเสด็จติดตามสองกุมาร แล้วจึงมอบให้แก่ชูชก

กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี เป็นกัณฑ์ที่พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่        ชูชก พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทางจนค่ำ เมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบส จึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง เมื่อนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษพระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบนางจึงได้ทรงอนุโมทนา

กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ เป็นกรรณที่พระอินทร์เจ้าจำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี แล้วสลบลงเมื่อได้พบ

ท้าวสักกะเทวราชเสด็จแปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอนางมัทรีพระเวสสันดรจึงพระราชทานให้พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จพระสัมโพธิญาณเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน ท้าวสักกะเทวราชในร่างพราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป ตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร ๘ ประการ

กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช เป็นกัณฑ์ที่เทพเจ้าจำแลงองค์องค์ทำนุบำรุงขวัญสองกุมารก่อนเสด็จนิวัติถึงมหานครสีพี

เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้เหล่าเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมาร จนเดินทางถึงกรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์ เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสองพระองค์ ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย ชาลีจูงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร ในขณะเดียวกันเจ้านครกลิงคะได้โปรดคืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี

กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์ เป็นกัณฑ์ที่ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้า ณ อาศรมดาบสที่เขาวงกต

พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา ๑ เดือน กับ ๒๓ วัน จึงเดินถึงเขาวงกต เสียงโห่ ร้องของทหารทั้ง ๔ เหล่า พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมารบนนครสีพี จึงชวนนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขาพระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดา ได้ทรงตรัสทูลพระเวสสันดรและเมื่อหกกษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ รวมทั้งทหารเหล่าทัพ ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืน ท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหกกษัตริย์และหวยหาญได้หายเศร้าโศก

กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัติพระนครททพระเวสสันดรขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา
พระเจ้ากรุงสัญชัยตรัสสารภาพผิด พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรีและเสด็จกลับสู่สีพีนคร เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชนท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว ๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขนเอาตามปรารถนา ที่เหลือให้ขนเข้าคลังหลวง ในการต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น